- รายละเอียด
- หมวด: ต้นไม้ขนาดเล็ก ไม่เกิน10 เมตร
- By Toy
- ฮิต: 16
พีนัทบัตเตอร์
ข้อมูลทั่วไปพีนัทบัตเตอร์
ชื่อภาษาไทย : พีนัทบัตเตอร์, ต้นเนยถั่ว, ต้นผลบันโชเซีย
ชื่อภาษาอังกฤษ : Bunchosia, Green Plum, Monk’s Plum, Peanut Butter Fruit, Peanut Butter Tree
ชื่อในภาษาอื่น บราซิล : Ameixa-Do-Peru, Ameixa -Do-Para, Caferana, Cafezinho, Caramel
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Buchosia argentea
ถิ่นกำเนิด
ต้นไม้ชนิดนี้ว่าเป็นต้นไม้พื้นเมืองทางตะวันตกเฉียเหนือของอเมริกา ซึ่งได้แก่ ประเทศโคลัมเบีย ประเทศเอกวาดอร์ ประเทศโบลิเวีย ประเทศเวเนซูเอลา ประเทศบราซิล และประเทศเปรู
ลักษณะพีนัทบัตเตอร์
- ลำต้น
เป็นประเภทไม้ยืนต้น ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก ความสูงโดยประมาณอยู่ที่ 2-4 เมตร และเป็นลักษณะแผ่กิ่งก้าน ช่วงลำต้นจะแข็ง แล้วก็เป็นซี่ๆ แต่เมื่ออายุมากจะมีความเกลี้ยงเกลา
- ใบ
จะเป็นประเภทใบย่อย ลักษณะรูปใบหอกสั้น ที่ใบจะมีหนาม ใบมีความยาวประมาณ 10-27 เซนติเมตร และความกว้างราวๆ 5-10 เซนติเมตร โคนใบจะมน ขอบใบเป็นคลื่น
- ดอก
จะออกเป็นช่อที่ซอกใบและมีขนาดกะทัดรัด ความยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร แล้วที่ก้านใบยาวก็จะมีดอกกะเทยสีเหลืองเป็นจำนวนมาก
- ผล
จะออกเกือบทั้งปี ลักษณะของผลจะมีผิวบาง สีจะออกสีส้มหรือสีแดง ความยาวของผลจะประมาณ 1 นิ้ว มีเมล็ดอยู่ 2 เมล็ด ผลเมื่อยังดิบจะมีรสชาติมันปนจืด เมื่อสุกจะมีรสหวาน
- เมล็ด
เมล็ดจะมีขนาดเล็กกว่าผลเล็กน้อย บางครั้งอาจมี 1 เมล็ดใน 1 ผล หรือ บางลูกก็อากมีเมล็ด 2 เมล็ดใน 1 ผล สามารถเคี้ยวเมล็ดได้เลย โดยมีสีขาวครีม ไม่แข็งมากเกินไป รสชาติเหมือนเม็ดถั่ว
การขยายพันธุ์
สำหรับการขยายพันธุ์ของ ต้นพีนัทบัตเตอร์ นั้นสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การเพาะเมล็ด และ การปักชำราก ซึ่งการเพาะด้วยเมล็ดจะสามารถออกผลได้ภายในระยะเวลา 2-3 ปี ส่วนการปักชำรากจะสามารถออกผลได้ในเวลา 1 ปี
การเพาะเมล็ด
- พยายามเอาเนื้อออกจากเมล็ดให้เกลี้ยง
- ตากให้เมล็ดแห้ง 2-3 ชั่วโมง
- เตรียมขุยมะพร้าวชุบน้ำให้หมาด ๆ
- เอาขุยมะพร้าววางรองก้นกระถางเล็กน้อย วางเมล็ดพีนัตบัตเตอร์ให่ชิดกันแต่อย่าเกยกัน แล้วกลบด้วยขุยมะพร้าวอีกชั้น แล้วทำแบบนี้อีก 1 รอบ เสร็จก็รดน้ำ เพื่อบ่มเมล็ดให้รากงอกออกมา
- เมื่อทำเสร็จนำไปวางในที่แดดรำไร 3-4 วัน พยายามอย่าให้ขุยมะพร้าวแห้ง
- เอาเมล็ดที่มีรากงอกออกมาแล้ว มาเพาะต่อในดิน วางในที่ร่มรำไร ควรรดน้ำเช้า-เย็น
การปลูกและการดูแล
การปลูก
- แสงแดด
ต้นไม้นี้เป็นไม้ที่ชอบแสงแดดมีการเจริญเติบโตที่ค่อนข้างรวดเร็ว การปลูกสามารถปลูกได้ทั้งในกระถางและแปลงปลูก
- น้ำ
ความต้องการน้ำอยู่ในระดับปานกลาง โดยให้รดน้ำเช้าและเย็น แต่ช่วง 2-3 ปีแรก ควรให้น้ำบ่อยๆ หลัง 3 ปีไปแล้วจะมีการปรับตัวได้ดีขึ้น สามารถทนสภาวะแล้งได้เป็นอย่างดี
- ดิน
ดินปลูก สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด ขอแค่ดินจะต้องมีการระบายน้ำดี
สามารถบำรุงต้นได้ด้วยปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยคอกทุกๆ 2 เดือน
การดูแล
- โรคพืช
เชื้อรา เชื้อราจะเกิดขึ้นได้หากสภาพแวดล้อมมีความชื้นมากเกินไป การป้องกันและกำจัดศัตรูต่างๆ เหล่านี้ ทำได้โดยการคอยดูแลพื้นที่ปลูกให้มีอากาศถ่ายเท ไม่รดน้ำมากเกินไป และคอยสังเกตกับไล่ศัตรูที่มาทางอากาศ
- ศัตรูพืช
ศัตรูตัวฉกาจของ ต้นพีนัทบัตเตอร์ คือ ‘นก’ เพราะบรรดานกจะชอบกินผลสุกของต้น ส่วนศัตรูอื่นๆ ได้แก่ เพลี้ย ซึ่งมักจะทำลายใบ ดอก และผลอ่อน
เกร็ดความรู้ ! สูตรปุ๋ยลูกดก มาแล้วกับเคล็ดไม่ลับของเว็บเรา ที่จะมาบอกเกี่ยวกับเทคนิคการปลูกเพื่อให้คุณได้กินลูกพีนัทบัตเตอร์กัยยาวๆ โดยสูตรง่าย ๆ คือ วัสดุดิบ-อุปกรณ์ 1. ถังมีฝาปิด ขนาดใดก็ได้ 1 ถัง 2. เศษอาหารที่กินเหลือ แบบแยกน้ำออกแล้ว 3. กากน้ำตาล วิธีทำ 1. เอาเศษอาหารที่แยกน้ำแล้วใส่ลงในถังให้ได้ 3 ใน 5 ของถัง 2. ใส่กากน้ำตาลลงไป โดยไม่ต้องผสมน้ำ ใส่ให้ไม่เห็นเศษอาหาร ปิดฝาแล้วหมักไว้ 1-2 เดือน 3. ค่อยเปิดเช็คในช่วงแรก วันละครั้ง 4. หลักหมักเสร็จแล้วสามารถตัก ราดไปที่โคนต้นไม้ได้เลย
ประโยชน์ และสรรพคุณ
ด้านประโยชน์ ต้นพีนัทบัตเตอร์ เป็นต้นไม้ที่มีคุณประโยชน์ที่ส่วนของผล มีอะไรบ้างตามมาดูกัน
- มีกลิ่นที่หอมและรสชาติดี
- มีสารต้านอนุมูลอิสระและไฟเบอร์หรือกากใยที่ค่อนข้างสูงด้วย
- เป็นแหล่งของสารแคโรทีนอยด์ที่ดีเยี่ยม ซึ่งสารตัวนี้เป็นสารพฤกษเคมี อันมีประโยชน์ต่อสุขภาพของดวงตา ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง และลดอันตรายจากแสงแดด
- มีสารไลโคปีนที่ใกล้เคียงกับมะเขือเทศ โดยสารชนิดนี้ให้คุณประโยชน์ด้านลดความรุนแรงจากอาการผิวไหม้จากแสงแดด และช่วยชะลอผิวไม่ให้แก่ก่อนวัย
- ผลพีนัทบัตเตอร์ยังช่วยลดภาวะที่เกี่ยวกับโรคหัวใจ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล แถมยังช่วยในเรื่องระบบประสาทต่างๆ