- รายละเอียด
- หมวด: ต้นไม้ขนาดเล็ก ไม่เกิน10 เมตร
- By Toy
- ฮิต: 16
กาหลง
ชื่อสมุนไพร กาหลง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น เสี้ยวน้อย, เสี้ยวดอกขาว (ภาคเหนือ), ส้มเสี้ยว (ภาคกลาง), กาแจ๊กูโด (นราธิวาส)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Bauhinia acuminata Linn
ชื่อสามัญ Orchid tree
วงศ์ LEUMINOSAE-CAESALPINIACEAE
ถิ่นกำเนิดกาหลง
กาหลงจัดเป็นพืชป่าชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดในป่าเขตร้อนของทวีปเอเชียซึ่งคาบเกี่ยวหลายประเทศตั้งแต่ อินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยคนไทยรุ้จักคุ้นเคยกับกาหลงมานานหลายร้อยปีแล้ว ดังปรากฎอยุ่ในวรรณคดีเรื่องลิลิตพระลอ และในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ พ.ศ.2416 ของหมอปรัดเลโดยให้คำอธิบายไว้ว่า "กาหลง" ต้นไม้ไม่สู้โต ดอกขาวบ้านเป็นสี่กลีบ ไม่สู้หอม ใช้ทำยาบ้าง และในปัจจุบันสามารถพบขึ้นอยู่ตามธรรมชาติในป่าเบญจพรรณของทุกภาคของประเทศ
ประโยชน์และสรรพคุณกาหลง
- ช่วยลดความดันโลหิต
- แก้ปวดศีรษะ
- แก้อาเจียนเป็นเลือด
- แก้สมหะพิการ
- แก้เลือดออกตามไรฟัน
- แก้ไอ้
- ช่วยขับเสมหะ
- แก้ปวดศีรษะ
- แก้บิด
- รักษาแผลในจมูก
- แก้โรคสตรี
- แก้เสมหะ
- แก้ลักปิดลักเปิด
รูปแบบแและขนาดวิธีใช้กาหลง
ใช้แก้บิด แก้ไอ ขับเสมหะ แก้ปวดศีรษะ โดยใช้รากแห้งหรือเปลือกต้นแห้ง 10-20 กรัม มาต้มกับน้ำครึ่งลิตรดื่ม ใช้แก้ลักปิดลักเปิด แก้เสมหะ แก้โรคในสตรี โดยใช้เปลือกต้น หรือ เนื้อไม้มาต้มกับน้ำดื่ม ใช้ลดความดันโลหิต แก้ปวดศีรษะ และเลือดออกตามไรฟัน โดยนำดอกกาหลง สดมารับประทานครั้งละ 3-5 ดอก เป็นประจำ
ลักษณทั่วไปของกาหลง
กาหลง จัดเป็นไม้พุ่มผลัดใบขนาดเล็ก สูง 2-4 เมตร เปลือกลำต้นเรียบสีน้ำตาล กิ่งอ่อนมีขนสีขาวปกคลุม กิ่งแก่ค่อนข้างเกลี้ยง ใบดอกเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวแบบเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ หรือ รุปรีกว้างปลายใบเว้าลึกเข้ามาเกือบครึ่งใบ ทำให้ปลายใบแหลมเป็นแฉกสองข้างโคนใบมนเว้าเป็นรุปหัวใจขอบใบเรียบโดยใบมีขนาดกว้างประมาณ 9-13 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-14 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นสีเขียวอ่อนหลังใบเรียบเกลี้ยง ส่วนท้องใบมีขนละเอียดสีขาวมีเส้นใบออกจากโคนใบอย่างเห็นได้ชัดประมาณ 9-10 เส้น ปลายเส้นกลางใบมีติ่งเล็กแหลมและมีก้านใบยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร ส่วนหูใบลักษณะรียวแหลมยาวประมาณ 1 เซนติเมตร มีแท่งยางค์เล็กๆ อยุ่ระหว่างหูใบ ดอกออกเป็นแบบช่อกระจะสั้นๆ บริเวณส่วนลำต้นและออกตรงข้ามกับใบที่อยุ่ปลายกิ่ง โดยจะมีดอกย่อยช่อละ 3-10 ดอก โคนก้านดอกมีใบประดับรูปสามเหลี่ยมเรียวแหลมขนาดเล็ก 2-3 ใบ ดอกเมื่อตูมเป็นรูปกระสวย ยาว 2.5-4 เซนติเมตร เมื่อดอกบานจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-8 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ โดยจะติดกันคล้ายกาบกว้าง 1-1.8 เซนติเมตร ยาว 2.5-4 เซนติเมตร ปลายเรียวแหลม และแยกเป็นพู่เส้นสั้นๆ 5 เส้น ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ รูปรี หรือ รูปไข่กลับสีขาวมักมีขนาดไม่เท่ากันกลีบดอกมีลักษณะปลายมน โคนสอบ กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาว 4-6 เซนติเมตรก้านดอกยาว 0.5-1.5 เซนติเมตร มีเกสรเพศผุ้ 10 อัน ซึ่งก้านชูอับเรณูแต่ละอันจะยาวไม่เท่ากัน มีตั้งแต่ 1.5-2.5 เซนติเมตร มีอับเรณูสีเหลือง รูปขอบขนาน ยาว 3-5 มิลลิเมตร และมีก้านชูเกสรเพศเมียยาว 1 เซนติเมตร รังไข่รูปขอบขนาน ยาว 6-8 มิลลิเมตร มีก้านเกสรเพศเมียยาว 1-2 เซนติเมตร ฝักมีลักษณะแบน กว้าง 1.5-2 เซนติเมตร และยาว 10 เซนติเมตร เมื่อฝักยังอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ดำ ด้านในฝักมีเมล็ดอยู่เรียงกันตามยาวเป็นช่องๆ มีฝักละ 10 เมล็ด เมล็ดมีขนาดเล็กรูปแบนหรือเป็นรูปขอบขนาน
การขยายพันธุ์กาหลง
สามารถขยายพันธุ์ ได้โดยวิธีเพาะเมล็ดและการตอนกิ่งแต่ในปัจจุบันมักนิยมใช้วิธีการเพาะเมล็ดมากกว่าโดยมีวิธีการ คือ เริ่มจากนำเมล็ดที่แก่จัดที่แก่จัดที่ได้จากฝักสีดำของกาหลงมาตัดตรงปลายออกเล็กน้อยแล้วนำไปแช่ลงในถ้วยที่ใส่น้าอุ่นไว้เพื่อให้เมล็ดพองตัวขึ้นมาประมาณ 1 วัน จากนั้นนำเมล็ดลงในกระถางที่เตรียมดินปลูก (โดยจะใช้เป็นดินร่วนผสมกับปุ๋ยหมัก) แล้วรดน้ำให้ชุ่มหน้าดิน หว่านเมล็ดลงไปในกระถางที่เตรียมไว้สำหรับปลูก โดยให้ส่วนสันที่เราขลิบออกตอนแรกคว่าหน้าลงไปในดิน แล้วค่อยๆ กดให้เมล็ดลึกลงไปเล็กน้อยแล้วรดน้ำให้ชุ่มอีกที หลังจากนั้นรอจนกว่าใบจริงเริ่มงอกแล้วจึงค่อยย้ายลงไปในแปลงปลูก สำหรับการดูแลรักษานั้น เนื่องจากกาหลง เป็นไม้ป่าจึงดูแลรักษาง่าย เป็นพืชทนแล้งได้ดี ชอบแสงแดดแบบเต็มวันและชอบดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดีในปัจจุบันนิยมปลูกอยุ่ 2 สายพันธุ์ คือ กาหลงขาวและกาหลงแดง
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของกาหลงระบุไว้ว่าในใบพบสารสำคัญดังนี้ palmitic acid, gallic acid และ ursolic acid ส่วนลำต้นพบสารกลุ่ม pnenolics, saponins, flavonoids, anthocyanoside และ steroids ฯลฯ ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากใบของกาหลง ที่มีลักษณะสีเหลืองเขียวมีกลิ่นฉุนพบสารสำคัญ เช่น Phytol, B-caryophyllene, a-Humulene, Caryophyllene oxide, a-Cadinol, Octacosane, a-Muurolol, Farnesol
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของกาหลง
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาจากส่วนต่างๆ ของกาหลง ระบุว่า มีฤทธิ์ต้านเบาหวาน ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านอาการท้องร่วง ต้านมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ ต้านพยาธิ และมีฤทธิ์ป้องกันตับ อีกด้วย
การศึกษาทางพิษวิทยาของกาหลง
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ในการเก็บดอกกาหลงมาใช้ประโยชน์นั้น ควรระวังบริเวณใบ และกิ่งของต้นกาหลงเนื่องจากบริเวณจะมีขนอ่อนๆ ขึ้นอยู่ ซึ่งหากสัมผัสกับผิวหนังโดยตรงจะทำให้ระคายเคืองผิวหนังได้ สตรีมีครรภ์และเด็กไม่ควรใช้กาหลงเป็นสมุนไพร เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาวิจัยด้านความเป็นพิษรวมถึงยังไม่มีหลักฐานใดที่ระบุได้ว่า สมุนไพรชนิดนี้จะไม่ส่งผลต่อเด็กในครรภ์สำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง หากจะใช้กาหลง เป็นสมุนไพร ก็ควรระมัดระวังในการใช้ เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพร ชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่พอเหมาะที่กำหนดไว้ในตำรับตำราต่างๆ รวมถึงไม่ควรใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน จนเกินไปเพราะจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้