- รายละเอียด
- หมวด: ต้นไม้ขนาดกลาง 10-20 เมตร
- By Toy
- ฮิต: 16
แมคคาเดเมีย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น
แมคคาเดเมีย เป็นพืชยืนต้นเขียวชอุ่มตลอดปี ลำต้นสูงตั้งตรง เมื่อโตเต็มที่สูงประมาณ 20 เมตร ทรงพุ่มมีลักษณะคล้ายปิรามิด แผ่ออกกว้างประมาณ 13 เมตร
ใบ
ใบมีลักษณะเหมือนหอกหัวกลับ ใบแก่สีเขียวเข้ม ขอบใบมีหนามเล็กน้อย
ดอก
ออกดอกเป็นช่อยาว ติดผลเป็นช่อยาวประมาณ 7-12 นิ้ว (20-30 ซม.) ดอกมีสีขาวหรือสีชมพู มีกลิ่นหอม ดอกแมคคาเดเมีย มีเกสรตัวผู้แตกก่อนเกสรตัวเมีย ประมาณ 2 วัน โดยดอกตัวผู้ และดอกตัวเมียจะอยู่บนก้านดอกเดียวกัน กิ่งหนึ่งจะมีดอกประมาณ 300-600 ดอก ติดผลเป็นช่อ ช่อละประมาณ 20 ผล
ผล
ผลมีเปลือกแข็งหนา สีเขียว มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว (2.5 ซม.) เนื้อในมีเปลือกแข็งหุ้ม เรียกว่า กะลา ภายในกะลามีเมล็ดเป็นเนื้อแน่นสีขาว รับประทานได้ ลักษณะเปลือกแมคคาเดเมีย มี 2 ลักษณะ คือ Rough and Smooth shell
ประโยชน์แมคคาเดเมีย
– เมล็ดของผลแมคคาเดเมียที่อบแห้งแล้วนิยมนำมารับประทาน นอกจากนั้น ยังนิยมนำไปใส่ในขนมต่างๆ เช่น ขนมเค้ก ไอศกรีม นำไปเคลือบช็อกโกแลตเป็นขนมหวาน
– กะลาแมคคาเดเมียนำไปใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติก
– เปลือกนอก และกะลาใช้ทำปุ๋ยหมัก หรือหว่านในแปลงเกษตรสำหรับบำรุงดิน
– กะลาใช้เผาทำถ่านกัมมันต์สำหรับใช้ในระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำหรือระบบบำบัดน้ำเสีย
สรรพคุณแมคคาเดเมีย
– เมล็ดแมคคาเดเมียไม่มีคอเลสเตอรอล และน้ำมันในเมล็ดมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว เช่น กรดโอเลอิก กรดสเตียริก กรดไลโนเลอิก กรดไมริสติก กรดโดโคเฮกซะอีโนอิก กรดปาล์มิโตเลอิก กรดปาล์มิติก เป็นต้น ที่ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล
– ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ
– มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยบำรุงผิวพรรณ ป้องกันโรคมะเร็ง
– น้ำมันแมคคาเดเมียช่วยบำรุงสมอง และบำรุงหัวใจ
พันธุ์แมคคาเดเมีย
สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร ได้แนะนำพันธุ์แมคคาเดเมีย จำนวน 3 พันธุ์ ได้แก่
1. พันธุ์เชียงใหม่ 400 (HAES 660)
– มีลักษณะทรงต้นตั้งตรง คล้ายปิรามิด ความสูงประมาณ 15-20 เมตร พุ่มแน่นกว้างประมาณ 10-15 เมตร
– ขนาดผลเล็กถึงปานกลาง ทรงกลม กะลาบาง ผิวกะลาเรียบ เมล็ดสีน้ำตาลอ่อน มีจุดลายประ น้ำหนักเมล็ดแห้งทั้งกะลาประมาณ 5-8 กรัม จำนวนเมล็ด/กก. ที่ 175-190 เมล็ด
– เนื้อเมล็ดรูปร่างกลม สีขาว น้ำหนัก 1.5-2.7 กรัม/เมล็ด เปอร์เซ็นต์เนื้อหลังกะเทาะประมาณ 34 – 42 เปอร์เซ็นต์ เปอร์เซ็นต์เมล็ด เกรด 1 สูงที่ 35 – 41 เปอร์เซ็นต์ เปอร์เซ็นต์เนื้อลอยน้ำ 93-100 เปอร์เซ็นต์
– ผลผลิตต่อต้น (อายุ 11 ปี) 11 – 17 กก.
– เหมาะสมสำหรับพื้นที่ปลูกเหนือระดับน้ำทะเล 700 เมตร ขึ้นไป ถ้าพื้นที่ต่ำ 400-600 เมตร ต้องอยู่ในเขตเส้นรุ้ง (ละติจูด) ที่ 19.8 องศาเหนือ ขึ้นไป พื้นที่ที่เหมาะสม ได้แก่ อ.ฝาง จังหวัดเชียงใหม่ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เป็นต้น
2. พันธุ์เชียงใหม่ 700 (HAES 741)
– ทรงต้นต้นตรง พุ่มแน่น คล้ายปิรามิด ความสูงประมาณ 15-20 เมตร ทรงพุ่มกว้างประมาณ 10-15 เมตร
– ขนาดผลปานกลาง กะลาบาง เมล็ดรูปร่างกลม ผิวเรียบ สีน้ำตาลอ่อน มีจุดลายประ น้ำหนักเมล็ดแห้งรวมกะลา 6 – 8 กรัม จำนวนเมล็ดต่อกิโลกรัม 135 – 150 เมล็ด
– รูปร่างเนื้อในกลม น้ำหนักเนื้อในสูง และสม่ำเสมอ ดีกว่าพันธุ์เชียงใหม่ 400 น้ำหนัก 1 เมล็ดประมาณ 2.0-2.9 กรัม เนื้อสีขาวสวย เปอร์เซ็นต์เนื้อหลังกะเทาะเปลือก 32-39 เปอร์เซ็นต์ เปอร์เซ็นต์เกรด 1 ที่ 31-37 เปอร์เซ็นต์ เปอร์เซ็นต์ เกรดเนื้อในลอยน้ำได้ที่ 90-10 เปอร์เซ็นต์
– ผลผลิตต่อต้น (อายุ 11 ปี) ประมาณ 13-21 กก. เจริญเติบโตได้ดี ให้ผลผลิตสูง เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่สูง 700 เมตร ขึ้นไป
3. พันธุ์เชียงใหม่ 1000 (HAES 508)
– ทรงต้นกึ่งต้นตรง ทรงพุ่มแน่น แผ่กว้างกว่าทุกพันธุ์ ความสูงต้นประมาณ 15-20 เมตร ทรงพุ่ม กว้างประมาณ 12-15 เมตร
– ขนาดผลปานกลาง เมล็ดรูปร่างกลม ผิวเรียบสีน้ำตาลอ่อน มีจุดประ มีรอยแตกสีดำชัดเจน
– กะลาหนาเล็กน้อย ขนาดเมล็ดเล็กปานกลาง น้ำหนักแห้งทั้งกะลา 5 – 8 กรัม จำนวนเมล็ดต่อกิโลกรัม 148-170 เมล็ด
– รูปร่างเนื้อทรงกลม น้ำหนักประมาณ 107-205 กรัม/เมล็ด เนื้อสีขาว เนื้อหลังกะเทาะเปลือก 32-39 เปอร์เซ็นต์ เกรด 1 ที่ 30-38 เปอร์เซ็นต์ เนื้อในลอยน้ำที่ 84-100 เปอร์เซ็นต์
– ผลผลิตต่อต้น (อายุ 11 ปี) ประมาณ 21-33 กก. เนื้อในมีคุณภาพยอดเยี่ยม เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่อากาศหนาว ที่ระดับความสูง 1,000 เมตรขึ้นไป
– เป็นพันธุ์ทนแล้งได้ดี แต่ไม่ทนร้อน หากปลูกในพื้นที่ต่ำกว่า 700 เมตร มักมีอาการแพ้ความร้อน คือ ใบเหลืองซีด ขอบใบไหม้ ช่วงออกดอก ติดผลและเก็บเกี่ยว
พื้นที่ปลูก
พื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูก ควรสูงจากระดับน้ำทะเลไม่น้อยกว่า 700 เมตร ตามลักษณะสายพันธุ์ที่ปลูก พื้นที่ต้องมีแหล่งน้ำเพียงพอตลอดปี ควรเป็นดินโปร่ง ระบายน้ำได้ดี มีค่าความเป็นกรดเล็กน้อย ที่ 5.5-6.5 อุณหภูมิในช่วง 10-25 °C มักให้ผลผลิตได้เมื่อ อายุ 4-5 ปี และให้ผลต่อเนื่องจนถึงอายุ 50 ปี เก็บผลได้หลังออกผลประมาณ 6 เดือน
การปลูกแมคคาเดเมีย
แมคคาเดเมีย Macadamia intergrifolia เป็นพืชที่ปลูกมากในภาคเหนือของประเทศ ระยะปลูกระหว่างต้น และแถว 8×10 เมตร สามารถปลูกพืชอื่นแซมได้ในช่วง 1-4 ปีแรก เช่น กาแฟ , สตรอเบอรี, มันสำปะหลัง เป็นต้น ควรขุดขนาดหลุม 75 x 75 x 75 เซนติเมตร ถึง 1 x 1 x 1 เมตร ให้รองก้นหลุมด้วยหินฟอสเฟต อัตราหลุมละ 1-2 กิโลกรัม ปุ๋ยคอกหรือแกลบหรือปุ๋ยหมัก อัตราหลุมละ 3-5 กิโลกรัม
การให้นํ้า
ควรให้น้ำสม่ำเสมอ ตั้งแต่หลังการปลูก ระยะ 1-2 ปี แรก 2-3 วัน/ครั้ง และหลัง 2 ปี อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และระยะออกดอก และติดผล ต้องให้อย่างต่อเนื่อง
การใส่ปุ๋ย
การใส่ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 500 กรัม/ต้น ทุก 2 ครั้ง/ปี และ สูตร 12-12-24 อัตรา 500 กรัม/ต้น ก่อนระยะออกดอก และติดผล (ต.ค.-พ.ย. และ ก.ค. – ส.ค. ) ของทุกปีเมื่อเริ่มให้ผลผลิต ทั้งนี้ ควรให้ปุ๋ยคอกร่วมด้วยในอัตรา 10-30 กก./ต้น ทุกๆ 2 ครั้ง/ปี ในระยะเดียวกันกับปุ๋ยเคมี
การเก็บเกี่ยว
บนพื้นที่สูงแมคคาเดเมียจะออกดอกปีละ 2 ครั้ง คือ ช่วง พ.ย. – ธ.ค. และ ก.ค. – ส.ค. ผลจะพร้อมกเก็บ ประมาณ 6 – 9 เดือน หลังดอกบานถึงแก่ ผลแมคคาเดเมียที่ร่วงลงพื้น หลังเก็บผลต้องรีบกะเทาะเปลือกออก เพราะหากเก็บกองรวมกันมากจะเกิดความร้อนทำให้เนื้อในคุณภาพไม่ดี
ผลผลิต
หลังปลูก 4-5 ปี ต้นแมคคาเดเมียจะเริ่มให้ผลผลิต ในปีแรกจะให้ผลผลิตน้อยเพียง 1-3 กิโลกรัม/ต้น และเพิ่มขึ้นทุกปี ต้นที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป จะให้ผลผลิตที่ 20-30 กิโลกรัม/ต้น อายุ 20 ปี ขึ้นไปจะให้ผลผลิตที่ 40 – 60 กิโลกรัม/ต้น
โรค และสัตว์ศัตรู
– โรคโคนเน่าหรือเปลือกผุ ใช้สารพวก แคปเทนพ่นที่ต้น
– หนู และสัตว์จำพวกแทะเมล็ด กำจัดโดยใช้ที่ดักสัตว์หรือใช้สังกะสีโอบรอบโคนต้น
– แมลงค่อมทอง ชอบกัดกินยอดอ่อน ใช้ยาเซฟวินฉีดพ่นก่อนระบาด และช่วงระบาด
– หนอนกัดกินเปลือกลำต้น มักเข้าทำลายต้นที่มีอายุ 1-3 ปี
– เพลี้ยอ่อน
การแปรรูปแมคคาเดเมีย
เมื่อเก็บผลแมคคาเดเมียแล้วให้รีบเอาเปลือกนอกออกทันที เนื่องจากผลแมคคาเดเมียสดมีเปลือกนอกสีเขียวที่มีความชื้นสูง หลังจากนั้น นำเมล็ดตากแดดหรืออบแห้งให้เหลือประมาณ 3.5% และนำเข้าเครื่องกะเทาะเปลือกออก และนำเนื้อในไปอบแห้งภายใน 24 ชั่วโมง ให้เหลือความชื้นไม่มากกว่า 1.5 %
เนื้อเมล็ดหลังอบแห้งสามารถนำมาจำหน่ายได้ รวมถึงนำมาใช้ประกอบทำขนมหวานได้หลายชนิด เช่น ผสมในไอศครีม เป็นต้น
มาตรฐานเมล็ด
• ลักษณะตรงตามพันธุ์
• เส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 7/8 นิ้ว
• ปราศจากแมลง และสิ่งปลอมปน
• เมล็ดสะอาด และแห้ง
• เมล็ดไม่มีรอยการทำลายของหนูหรือแมลง
• เมล็ดหรือเนื้อใน ไม่เกิดเชื้อรา ไม่มีการแตก ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน
• ความชื้นเมล็ดไม่เกิน 3% โดยน้ำหนัก และความชื้นเนื้อเมล็ดหลังอบไม่มากกว่า 1.5 %
• เนื้อเมล็ดมีสีขาวนวล