ต้นซิลเวอร์โอ๊ค (Silver Oak)  นั้นจัดอยู่ในวงศ์ Proteaceae เป็นพืชพื้นเมืองที่มีถิ่นกำเนิดในแถบชายฝั่งตะวันออกของประเทศออสเตรเลีย เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดใหญ่ มีลำต้นสูงประมาณ 18-35 เมตร ใบมีลักษณะคล้ายใบเฟิร์นมีหลากหลายสี คือ ด้านบนของใบจะเป็นสีเขียวอมน้ำเงิน และใต้ใบเป็นสีเงินกำมะหยี่   เป็นพันธุ์ไม้ที่มีใบสวยงามแปลกตาและราคาสูง ขนาดมีใบ 15-35 เซนติเมตร ดอกมีสีส้ม-เหลือง ช่อดอกจะเป็นแบบ Indetermimate และมีความยาว 3-5 เซนติเมตร เมล็ดมีสีขาวตรงกลางจะมีสีดำ เมื่อฝักแก่จัดเมล็ดจะดีดตัวออกจากฝักปลิวไปตามกระแสลมได้ในระยะไกล และจะงอกเป็นต้นอ่อนขึ้นเองตามธรรมชาติ

ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เมื่อมีอายุ 5 ปีขึ้นไป นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ เพื่อให้ร่มเงาและทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ บางคนปลูกเพื่อการค้าโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นไม้ที่ราคาแพงและเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมากในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์และกีตาร์ (เป็นไม้เนื้ออ่อนดัดง่าย-ลายไม้สวย)  หรือร้านชา-กาแฟทั้งหลาย ที่กำลังปลูกเพื่อประดับตกแต่งร้านเพิ่มมุมจิบชา-กาแฟสวยๆให้ร้านดูชิลขึ้น น่าเซลฟี่ในวันพักผ่อน และเป็นร่มเงาใช้บังแดดได้ในตัว 

ซิลเวอร์โอ๊ค เป็นไม้ยืนต้นที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว สามารถทนต่อความหนาวได้ถึง -8 องศาเซลเซียส ทนแล้งได้ดี ชอบพื้นที่ที่มีแดดส่องถึงได้เต็มที่ตลอดวัน (ปลูกกลางแจ้งได้) โดยจะมีการนำเมล็ดไปเพาะในแปลงเพาะเมื่องอกเป็นต้นกล้ามีความสูงได้ 8-12 นิ้ว จึงนำมาปลูกลงดิน ควรเลือกปลูกในดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายเป็นกรดอ่อน-ปานกลาง เป็นไม้ที่ไม่ชอบน้ำขังชื้นแฉะ เมื่อต้นอ่อนมีรากที่แข็งแรงดีแล้ว การให้น้ำควรให้ในปริมาณปานกลาง วันละ 1 ครั้งหรือน้อยกว่านั้น การให้ปุ๋ยควรใช้สูตรเร่งโต15-15-15 , สูตรบำรุงราก 25-7-7

นอกจากนี้ ซิลเวอร์โอ๊ค ยังเป็นไม้ยืนต้นที่สามารถช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ ซึ่งในปัจจุบันเจ้าของที่ที่ปลูกต้น ซิลเวอร์ค สามารถสร้างรายได้งามๆเข้ากระเป๋าจากการขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) แม้ว่าการขายแลกเปลี่ยนก๊าซเรือนกระจก (Emission Tradre  or  Cap and Trade) จะยังไม่เป็นที่นิยมและแพร่หลายสักเท่าไหร่ แต่ในอนาคตก็มีแนวโน้มที่จะมีความต้องการที่สูงขึ้นเรื่อยๆ  

 ซึ่งวิธีการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การปลูกต้นไม้ยืนต้น การจัดเก็บก๊าซมีเทนจากแหล่งกำจัดขยะ หรือจัดซื้อมาจากองค์กรต่างๆ โดยกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจจะซื้อคือ กลุ่มบริษัทที่มีการปล่อยมลพิษเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด ต้องการที่จะซื้อคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เพื่อไปช่วยลดจำนวนมลพิษที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดนั่นเอง ในอนาคตอันใกล้เราอาจจะได้เห็นมิติใหม่ของวงการต้นไม้ ที่จะทำให้ชาวเกษตรกรได้ตื่นเต้นกับการสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำกันอย่างแน่นอน